ฤดูกาลกับวันที่ผันเปลี่ยน แต่ไม่ว่ายังไง “ชีวิตยังคงสวยงาม”

วงการเพลงไทยบ้านเราผ่านมาหลายยุคหลายสมัย ไม่ว่าจะเป็นยุค 90s หรือยุคเด็ก Gen Y อย่างยุคมิลเลนเนียม แต่ละยุคสมัยก็มีเนื้อหาของเพลงที่หลากหลายแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละช่วงเวลา แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีบทเพลงอยู่ประเภทหนึ่ง ที่ไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนผ่านไปนานเท่าใด ความหมายของเนื้อเพลงก็ยังคงเป็นความจริงอยู่เสมอ บทเพลงเหล่านั้นมักเล่าถึงปรัชญาการใช้ชีวิต และมีเนื้อหาให้กำลังใจแก่ผู้ฟัง ในบทความนี้จะนำพาผู้อ่านไปพบกับสองบทเพลงที่อยู่กันคนละช่วงเวลาแต่ให้ความรู้สึกถึงความเหมือนที่แตกต่างในความหมายของเนื้อเพลงได้อย่างลงตัว

เพลงแรก ฤดูที่แตกต่าง” เป็นเพลงที่ถูกแต่งขึ้นโดย “บอย โกสิยพงษ์” เจ้าพ่อเพลงรักนักแต่งเพลง ซึ่งวัยรุ่น หรือวัยกลางคนในยุค 90s (ค.ศ.1990-1999)  ที่ชอบฟังเพลงรักเป็นพิเศษหลายคนต้องรู้จัก เพลงนี้เขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากคำพูดให้กำลังใจจากคุณแม่ของเขาเอง ในวันที่ชีวิตของเขาต้องพบกับปัญหาที่หนักหนา ที่แม้แต่ตัวเขาเองก็คิดว่ายากที่จะก้าวข้ามผ่านมันไปได้

เนื้อหาของเพลงเปรียบช่วงชีวิตเราทุกคนเป็นดั่งฤดูกาล คือมีทั้งช่วงเวลาแห่งความสุขและความทุกข์ แต่ไม่ว่าฤดูกาลที่เรากำลังเผชิญอยู่จะเป็นอย่างไร ไม่มีฤดูกาลใดที่คงอยู่ได้ตลอดไป ทุกอย่างย่อมสับเปลี่ยนหมุนเวียนผ่านเข้ามาและผ่านออก
ไปในที่สุด บทเพลงให้กำลังใจแก่เราว่า หากวันใดที่เราต้องเจอกับความทุกข์ยากแสนสาหัส ขอเพียงให้เรามีใจอดทนรอ
รอจนกว่าพายุฝนแห่งความทุกข์นั้นจะผ่านพ้นไป เพื่อให้เราได้เห็นเองว่าฟ้าหลังฝนนั้นงดงามเพียงใด

ในขณะที่ ชีวิตยังคงสวยงาม” ที่ขับร้องโดยวงร็อกชื่อดังในยุคมิลเลนเนียม (ค.ศ.2000) อย่างวง “Bodyslam” ซึ่งมีนักร้องนำเป็นที่รู้จักกันดีอย่าง “ตูน อทิวราห์ คงมาลัย” มีเนื้อหาเพลงมุ่งเน้นให้ยอมรับความเป็นไปของชีวิต ชี้ให้เห็นว่าเราทุกคนต้องมีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีผ่านเข้ามาในชีวิตไม่มากก็น้อย แต่เมื่อใดก็ตามที่ชีวิตต้องพานพบกับเรื่องที่ทุกข์ใจ ก็ขอให้โอบกอดมันไว้ด้วยความเต็มใจ เรียนรู้ที่จะยอมรับและอยู่กับความเป็นจริงให้ได้ ความผันเปลี่ยนทั้งความสุขและความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ไม่มีอะไรที่คงทนถาวร และด้วยเหตุนี้เองต่อให้ชีวิตมันจะดีหรือร้ายเพียงใด ชีวิตนั้นก็ยังคงมีความสวยงามเสมอ เพราะนั่นคือชีวิตของเรา

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ผู้อ่านบางท่านก็อาจจะอดเถียงขึ้นมาในใจไม่ได้ว่า ชีวิตที่ทุกข์ยากนั้นจะเป็นชีวิตที่สวยงามไปได้อย่างไร หากคิดเพียงผิวเผินก็คงเป็นดั่งที่ท่านผู้อ่านสงสัย แต่หากพิจารณากันให้ดีแล้ว เพลงนี้ได้แฝงกุศโลบายอย่างหนึ่งในการใช้ชีวิตเอาไว้ นั่นคือ ต่อให้ชีวิตจะต้องพบเจอกับเรื่องที่ดีหรือร้ายมากแค่ไหน ขอเพียงเรามีมุมมองและทัศนคติที่ดีต่อการใช้ชีวิต เราทุกคนจะสามารถมองเห็นโลกได้ในแบบที่ควรจะเป็น และสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาร้าย ๆ ไปได้ด้วยดีไม่ช้าก็เร็ว

เมื่อพิจารณาให้ดีแล้ว บทเพลงทั้งสองเพลงนั้นถึงแม้จะเกิดต่างช่วงเวลากัน แต่ต่างก็ถูกสรรค์สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจชีวิตเพิ่มมากขึ้น สอนให้มีมุมมองที่ดีในการใช้ชีวิต และมุ่งเน้นให้ผู้ฟังมีกำลังใจที่จะก้าวเดินต่อไปบนทางเดินชีวิต ที่ถึงแม้อาจจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดเส้นทาง แต่เชื่อเหลือเกินว่าทัศนคติที่ดี และการมองชีวิตในแง่มุมที่เป็นบวกจะสามารถช่วยให้ชีวิตเราทุกคนเป็นชีวิตที่สวยงามได้ไม่ยาก