เล่าเรื่องรักผ่านเพลงประกอบภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชัน ดิสนีย์

เราทุกคนก่อนที่จะโตมาเป็นผู้ใหญ่ในวันนี้ต่างก็ผ่านวัยเด็กน้อยไร้เดียงสากันมาแล้วทั้งนั้น และสิ่งที่เป็นของคู่กันกับเด็ก ๆ ในสมัยที่เทคโนโลยียังไม่เฟื่องฟูหรือเข้าถึงง่ายอย่างในทุกวันนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องราวของตัวการ์ตูนที่ถูกถ่ายทอดให้ออกมาโลดแล่นบนหน้าจอโทรทัศน์ เรียกได้ว่าเด็ก ๆ ในยุคนั้นโตมาพร้อมกับจินตนาการที่ได้จากเรื่องราวของตัวการ์ตูนเหล่านั้นเลยก็ว่าได้ แล้วถ้าหากให้นึกถึงการ์ตูนเรื่องโปรดในวัยเด็กซักเรื่องแล้วล่ะก็ เชื่อว่าหนึ่งในหลาย ๆ เรื่องที่ใครหลายคนนึกถึงจะต้องมีซักเรื่องที่มาจากค่ายการ์ตูนแอนิเมชันชื่อดังอย่าง “ดิสนีย์”

ซึ่งมนต์เสน่ห์ที่อยู่คู่กันมากับการ์ตูนของค่ายนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นเพลงประกอบภาพยนตร์ที่เป็นสิ่งที่แฟน ๆ ตัวยงของดิสนีย์ มักจะต้องรู้จักกันดีหรือเคยฟังผ่านหูกันมาแล้วแทบทุกเพลง บทความนี้ผู้เขียนจึงได้คัดเลือกเอาเพลงประกอบภาพยนตร์การ์ตูนดิสนีย์ที่มีเนื้อหาใจความหลักเกี่ยวกับเรื่องราวความรักของตัวการ์ตูนมาให้ผู้อ่านได้ซึมซับบรรยากาศเก่า ๆ ในวัยเด็กกันอีกครั้งหนึ่ง

เพลงแรก คือเพลง Youll be in my heartขับร้องโดยPhil Collinsเพลงนี้ถูกใช้ประกอบภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชันเรื่อง “ทาร์ซาน” ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เล่าถึงเด็กกำพร้าเพศชายคนหนึ่งที่เติบโตมาในป่าใหญ่ด้วยการเลี้ยงดูจาก
กอลิล่า เนื่องด้วยพ่อแม่ของเขาได้เสียชีวิตไปแล้วนั่นเอง โดยการดำเนินเนื้อเรื่องตอนต้นจะเน้นไปที่เรื่องราวการผจญภัยของทาร์ซาน ตั้งแต่เด็กจนโตเป็นหนุ่มเต็มตัว  กระทั่งต่อมาเขาได้พบกับเจน พอร์เตอร์ หญิงสาวที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตคนป่าอย่างเขาไปตลอดกาล เนื้อหาเพลง You’ll be in my heart แสดงมุมมองความรักที่ทาร์ซานมีต่อเจน ว่าไม่ว่าใครจะคิด จะพูดอย่างไร เจนจะมีพื้นที่อยู่ในหัวใจของเขาเสมอไป แล้วในท้ายที่สุดคนเหล่านั้นก็จะรู้ซึ้งถึงความรักระหว่างเขาและเธอเอง เพลงนี้เป็นเพลงรักที่มีเนื้อหาฟังแล้วอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก การันตีความไพเราะของบทเพลงได้จากรางวัล Oscars, Grammy และ Golden

เพลงต่อมา คือเพลง I see the lightขับร้องโดย Many Moore และ Zachary Levi” เพลงนี้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชันเรื่อง “ราพันเซล” เป็นเรื่องราวของเจ้าหญิงน้อยราพันเซลที่ถูกแม่มดกอเทลลัก พาตัวไปไว้ที่หอคอยสูง ในป่าลึกตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะต้องการใช้ความวิเศษจากผมของราพันเซลคงความอ่อนเยาว์ของตนเองไว้ตลอดกาล แต่เรื่องราวการผจญภัยเริ่มขึ้นเมื่อจอมโจรหน้าหล่อนามว่า ฟลินน์ ได้หลงมาพบกับราพันเซลโดยบังเอิญ ด้วยความที่ราพันเซลไม่เคยออกไปจากหอคอยมาก่อน เธอจึงขอให้ฟลินน์พาเธอออกไปท่องเที่ยวในโลกกว้างเพื่อไปดูโคมไฟในเมืองที่เธออยากเห็นกับตาใกล้ ๆ มานานแล้ว ซึ่งฉากในภาพยนตร์ช่วงที่ราพันเซลและฟลินน์นั่งดูโคมไฟด้วยกันบนเรือกลางทะเล อาจเพราะบรรยากาศเป็นใจและการได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันตลอดระยะเวลาของการเดินทางที่ผ่านมาทำให้ทั้งคู่เกิดความรู้สึกดีดีร่วมกันจนก่อเกิดเป็นความรัก และทั้งคู่ก็ได้กลั่นความรู้สึกรักนั้นออกมาเป็นบทเพลง I see the light ได้อย่างไพเราะงดงามเหลือเกิน เชื่อว่าฉากนี้น่าจะเป็นฉากประทับใจของใครหลาย ๆ คน ไม่เว้นแม้แต่ตัวผู้เขียนเองก็ตาม

สุดท้ายแล้วไม่ว่าผู้อ่านจะชอบเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องใดของดิสนีย์ แต่การได้มีโอกาสชมภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชันนั้นก็สามารถช่วยให้เรารักษาความไร้เดียงสา ความเป็นเด็กในหัวใจของเราเอาไว้ได้ไม่มากก็น้อย เพราะคงต้องยอมรับว่าเมื่อเราเติบโตขึ้น บางทีความเป็นเด็กในตัวเราก็อาจจะเลือนหายไปตามกาลเวลา ดังนั้น การได้หัวเราะ หรือร้องเพลงไปตามเพลงประกอบภาพยนตร์การ์ตูนที่เราคิดถึงเหมือนในสมัยเด็ก ก็คงเป็นสิ่งที่จะช่วยเยียวยาความรู้สึกของเราได้ไม่น้อย เพราะอย่างที่หลายคนพูดกันว่า การ์ตูนดิสนีย์นั้นเด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี หากดูแล้วคิดตามรับรองเกิดประโยชน์แน่นอน